
เรียกเสียงฮือฮาครั้งใหญ่ได้อีกครั้ง กับงาน WWDC2023 ของ Apple ที่จัดขึ้นเมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 6 มิถุนายน 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งคราวนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ไอทีของโลกได้นำทัพด้วย Product ใหม่ล่าสุดที่บริษัทไม่เคยมีมาก่อน รวมถึงการอัปเดตระบบปฏิบัติการที่มีลูกเล่นน่าสนใจใหม่ๆ มากมาย ซึ่งจะมีอะไรบ้าง Code on Cloud จะมาสรุปให้ฟังสั้นๆ

เปิดตัวมาด้วย Macbook Air จอขนาด 15 นิ้ว มาพร้อมกับชิป M2 ซึ่งนี่เป็น ‘โน๊ตบุ๊คในอุดมคติ’ ที่หลายๆ คนคาดหวัง เครื่องแรง, จอใหญ่คมชัด, บางเบา, พกพาง่าย, ทำงานเงียบ และ แบตเตอรี่อึดขึ้น ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าจะเป็นหนึ่งในสินค้าที่ขายดีของแอปเปิ้ลอีกครั้ง

ตามมาด้วย Mac Studio เครื่องเดิมๆ เพิ่มเติมคือชิป M2 Max และ M2 Ultra ที่ปลดปล่อยพลังการประมวลผลอย่างเต็มที่มากขึ้น และเร็วมากกว่าเดิม

Mac Pro ที่หลายคนรอคอยก็มาถึง กับโฉมใหม่ที่เปลี่ยนมาใช้ชิปตระกูล M พร้อมประสิทธิภาพขั้นสูงสุดเท่าที่แอปเปิ้ลเคยทำมา ด้วยชิป M2 Ultra และการ์ด Afterburner ในตัว (Apple Afterburner คือการ์ดเร่งที่สร้างมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเวิร์กโฟลว์ Apple ProRes และ ProRes RAW สำหรับมืออาชีพด้านภาพยนตร์และวิดีโอ) และสามารถเพิ่ม Slot ได้ด้วย ปรับแต่งได้แรง จัดเต็มสุดๆ

มาถึงช่วงซอฟต์แวร์กันบ้าง เริ่มต้นด้วย iOS17 ที่พัฒนาพื้นฐานการติดต่อสื่อสารให้มีสีสันกันมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนการแสดงผลหน้าจอสายโทรเข้า, หน้าผู้ติดต่อรายชื่อ รวมถึง iMessage ที่เพิ่มฟีเจอร์การใช้งานสติ๊กเกอร์ที่สนุกมากขึ้นกว่าเดิม รองรับการนำภาพ Live Photo ส่วนตัวมาทำสติ๊กเกอร์ได้ด้วย ยังมีการแลกนามบัตรที่ทำได้สะดวกรวดเร็ว เพื่อการส่ง Airdrops ที่ไวขึ้น
และยังมีฟีเจอร์ Journal ที่จะสรุปการใช้งานแต่ละวันของเรา นำมาเตรียมเนื้อหาเบื้องต้น เพื่อให้เราบันทึกประจำวันได้ง่ายขึ้น พร้อมการแจ้งเตือนให้การเขียนในทุกวันของเราทำได้เป็นประจำ
ส่วนการเปลี่ยนแปลงในหน้าจอ Always-on Display สามารถแสดงผลในแนวนอนขณะผู้ใช้งานพักผ่อนได้แล้ว เสมือนนาฬิกาบอกเวลา และยังแสดงโมดูลอื่นๆ ได้ด้วย เช่น ปฏิทิน สิ่งที่ต้องทำ เป็นต้น
อ้อ! หลังจากนี้เรียกแค่ Siri ก็พอนะ ไม่ต้อง Hey แล้ว 😁

ส่วน iPadOS17 ก็ไม่น้อยหน้า นอกจากจะปรับแต่งวิดเจ็ตได้อย่างอิสระและตอบสนองได้แล้ว ยังสามารถปรับแต่งหน้าจอล็อคได้เหมือน iPhone อีกด้วย ทั้งการปรับแต่งความหน้าฟอนต์ และพื้นหลังหน้าจอรูปแบบใหม่ๆ ก็ตามมากันหมด
แถมยังเปิดตัวแอพสุขภาพบน iPad แล้ว หน้าตาสวยงามและใช้ง่ายขึ้นมากกว่าเดิม รวมถึงแอพ PDF ที่รองรับการจัดการไฟล์ได้สะดวกมาก มีฟีเจอร์กรอกฟอร์มอัตโนมัติให้ แอพโน๊ตยังอัพเกรดครั้งใหญ่ ที่สามารถแชร์การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ได้ หรือ Live Collaboration

macOS มาถึงการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง กับชื่อ Sonoma ที่รวมฟีเจอร์ทั้งหมดของ iOS และ iPadOS มาไว้ด้วยกัน มีการแสดงผล Wallpaper แบบวิดิโอในสถานที่สำคัญต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงการจัดเรียงวิดเจ็ตแบบ iPad ที่วางได้อย่างอิสระ หน้าตาสวยงาม
และยังมี Game mode ได้จะปรับประสิทธิภาพการเล่นเกมให้ดียิ่งขึ้น รองรับเกมได้มากขึ้นในอนาคต
สามารถแสดงอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้นผ่านการประชุม FaceTime ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์กรีนสกรีน ที่จะแยกคุณออกจากภาพพื้นหลัง เพื่อการแสดงผลที่มีลูกเล่นมากยิ่งขึ้น
และสิ่งที่ว้าวมากใน AirPods คือการปรับระดับเสียงรบกวนให้อัตโนมัติอย่างมีประสิทธิภาพ เร่งเสียงส่วนที่เบา ลดเสียงส่วนที่ดัง ทำให้การรับฟังคอนเทนต์ลื่นไหลมากยิ่งขึ้น ส่วน HomePods ก็ไม่น้อยหน้า ฉลาดมากขึ้นกว่าเดิม กับการเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งาน ฟังเพลง และไลฟ์สไตล์ประจำวันของเรา
ส่วนด้านความบันเทิง tvOS ยังใช้การประชุมบนหน้าจอใหญ่ได้ ผ่านกล้อง iPhone เจ้าเดิม และยังดูหนัง ฟังเพลงได้ใกล้ชิดกันกว่าเดิม

watchOS เวอร์ชั่น 10 ก็มีการปรับเปลี่ยนหน้าจอครั้งใหญ่เหมือนกัน เรียกดูข้อมูลแต่ละส่วนได้ง่ายขึ้น พร้อมการควบคุมผ่าน Digital Crown พร้อมการมาถึงของ MentalHealth แอพดูแลสุขภาพจิต ที่สามารถสรุปผลสุขภาพจิตได้ทุกวัน ด้วยตัวเราเอง เพื่อการดูแลสุขภาพที่เต็มมิติมากขึ้น

One more thing… ไฮไลท์สำคัญของงาน WWDC2023 กับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ Apple Vision Pro แว่น VR สุดล้ำที่จะทำให้ตลาดของโลกเสมือนจริงคึกคักยิ่งกว่าเดิม
Apple Vision Pro มาในการออกแบบที่เหนือกว่าแว่น VR ทั่วไปในตลาด ประกอบไปด้วยกล้องมากถึง 6 ตัว พร้อมกับเซ็นเซอร์วัดระยะการทำงาน ทำให้คุณสามารถสั่งการได้ด้วย การเหลือบมอง ขยับมือ และออกเสียงเท่านั้น
ด้วยพลังของชิป M2 และ R1 ที่จะทำให้การประมวลผลเหนือชั้นและลื่นไหลได้มากกว่า ทำให้การแสดงผลที่ซ้อนกับภาพจริงเป็นไปได้อย่างราบรื่นและเนียนสายตา รวมถึงความสามารถในการปรับเปลี่ยนพื้นหลังที่สวยงามสมจริง
รองรับระบบเสียงแบบ Spatial Audio ให้มิติเสียงที่สมจริง รวมกับภาพที่คมชัด สดใสชัดเจน ดูหนังได้สมจริงมากขึ้น และยังสามารถถ่ายวิดิโอ 3D ที่สามารถสร้างระยะมิติตื้นลึก โดยใช้กล้องที่ติดมากับแว่นในการบันทึก
เพราะรองรับทุกอุปกรณ์ Mac ที่มี ทำให้การใช้งานลื่นไหล ข้ามอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่นตามสไตล์ Apple
ข่าวดีสำหรับสายสตรีม เพราะ Disney ออกมาประกาศว่า จะมีการทำโปรเจกต์ใหม่ๆ เพื่อรองรับการพัฒนา Apple Vision Pro อีกด้วย งานนี้เราต้องลุ้นกันแล้วล่ะว่าจะมีคอนเทนต์แนวไหนบ้างที่จะทำให้เราตื่นตาตื่นใจ
สำหรับสเปกและวัสดุเครื่อง แน่นอนว่าก็ยังคงเนี๊ยบตามสไตล์ Apple วัสดุเป็นอลูมินั่มอัลลอย และสามารถปรับเข้ากับใบหน้าทุกรูปแบบได้อย่างสบาย ทรงประสิทธิภาพแบบแมค ใช้ง่ายเหมือนไอโฟน ใส่สบายเหมือนแอปเปิ้ลวอท
ความละเอียดจอ 23 ล้านพิกเซล ที่ไม่ว่าจะดูอะไรก็คมชัด และสำหรับคนสายตาสั้นหรือยาว ก็มีเลนส์เสริมจาก ZEISS มาอีกด้วย
สามารถสแกนใบหน้าก่อนเพื่อจดจำโครงใบหน้า เพื่อใช้ในการโทร FaceTime ในขณะที่สวมแว่น โดยจะเป็นการแทรกลงไปบนโมเดลศีรษะแบบ 3D เพื่อให้มองเห็นหน้ากันได้ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงการสแกนม่านตาเพื่อใช้ในการปลดล็อค และซื้อของต่างๆ ได้อีกด้วย
เรียกได้ว่านี่คือมาตรฐานใหม่ของอุปกรณ์ VR ที่จะเข้ามาทำให้ตลาดนี้คึกคักอย่างมากขึ้น จากการซุ่มพัฒนามาอย่างยาวนานของแอปเปิ้ล และกว่า 5000 สิทธิบัตร ที่จดไป ตรงนี้จะปังหรือพัง ปีหน้าที่วางจำหน่าย เราจะได้รู้กันแน่นอน
และนี่คือสรุปสั้นๆ ทั้งหมดของ WWDC2023 ที่ว้าวมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่าแอปเปิ้ลกำลังเอาจริงจังในด้านประสบการณ์การใช้งานมากขึ้น ผ่านอุปกรณ์ภายใน ecosystem ของตนเอง ที่กำลังนำความเชื่อมั่นกลับมา หลังจากที่เราไม่ได้เห็นเรื่องน่าตื่นเต้นแบบนี้มานานแล้ว